การเมืองไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ประชาชนเริ่มไม่พอใจกับระบบการเมืองแบบเดิม ๆ ที่เน้นอำนาจของชนชั้นนำ และต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบที่โปร่งใส ยุติธรรม และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนมากขึ้น
รหัสลับเกมการเมือง กลเกมขยับ แรงกระเพื่อม และภูมิคุ้มกันของ “เศรษฐา ทวีสิน”
สัญญาณขยับ แรงกระเพื่อมในแวดวงการเมือง สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” บ้าง แต่หากมองลึกลงไป นายกรัฐมนตรีคนนี้ก็ตีความ “รหัสลับ” ของเกมการเมืองได้อย่างชาญฉลาด
ยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ ด้วยพลังจาก “คำมั่นสัญญา” ของ “นายใหญ่” ที่ได้ตกลงกันไว้ ณ ฮ่องกง ก่อนการสมัครรับเลือกตั้ง
แม้จะไม่มีฐานเสียงในสภา แต่เศรษฐาไม่ได้ “ลอยนวล” เพราะเขามี “แบ็กอัป” สุดแกร่งจากบอร์ดตระกูลชินวัตร โดยเฉพาะ “สายเจ๊ๆ” ที่สนิทสนม คอยเป็นกำลังหนุนหลัง และเป็นปากเป็นเสียงให้เขา เลยเช็กจุดสิ้นสุด “สัญญาการงาน” ของตัวเองได้
จริงอยู่ที่ “อุ๊งอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร เผชิญการวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะผู้นำขัดตาทัพ ท่ามกลางกระแสข่าวลือเรื่องผู้นำ 2-3 คน รอตัวจริงจากตระกูลชินวัตร
อย่างไรก็ตาม การที่เธอลุยงานอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเตรียมเดินทางไปเยือนกัมพูชาในกลางเดือนนี้ ย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ในฐานะ “ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิง”
แต่หากมองในแง่ของเกมการเมือง ตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน น่าจะเป็นเพียงบทบาท “ฝึกงาน” บนเส้นทางสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ
ยิ่งเมื่อพิจารณาแผนปั้น “ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่สอง” ของพรรคเพื่อไทย ยังมีขั้นตอนอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการ รวมถึงโปรแกรม “มินิ วปอ.” ที่เธอกำลังเตรียมเข้าร่วม ย่อมต้องใช้เวลาพอสมควร
ดังนั้น คงต้องรอดูกันต่อไปว่า “อุ๊งอิ๊งค์” จะสามารถพิสูจน์ฝีมือและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศได้หรือไม่
การเมืองไทย ดีลลับสูตรตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว สั่นสะเทือนอำนาจแฝง
สถานการณ์การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังมีการต่อรองและขยับตัวเพื่อหาจุดลงตัว โดยเฉพาะ ดีลลับสูตรตั้งรัฐบาลพลิกขั้ว ที่ผ่านมา สร้างแรงกระเพื่อมในหลายฝ่าย
สัญญาณที่บ่งบอกถึงแรงสั่นสะเทือน คือกระแสข่าว “บิ๊ก ด.เด็ก” ตัวแทนผู้ถือดุลอำนาจ “อำนาจแฝง” เตรียมถอยจาก “สถานะพิเศษ” และเดินหน้าจัดผังวางดุลอำนาจรัฐบาลใหม่
สาเหตุหลัก มาจากความกังวลว่า วุฒิสภาจะครบวาระ ในเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้สูญเสีย “ดาบโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี”
เพื่อป้องกันไม่ให้พรรคเพื่อไทยยึกยัก “อำนาจแฝง” จึงต้องรีบเปิดเกม ก่อนดีเดย์พฤษภาคม
กลยุทธ์ที่อาจใช้ คือ การเปลี่ยนหัว เปลี่ยนผู้นำ โดยโอกาสอาจพลิกไปอยู่ที่ พรรคอันดับ 4 “รวมไทยสร้างชาติ”
ตัวเต็ง ที่อาจขึ้นแท่นเป็นนายกรัฐมนตรี คือ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน
อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาอีกสักระยะ สถานการณ์อาจพลิกผันได้เสมอ
สิ่งที่ต้องติดตามต่อไป คือ การขยับตัวของ “บิ๊ก ด.เด็ก” สูตรลับ ที่จะใช้จัดผังวางดุลอำนาจรัฐบาลใหม่ และ บทสรุปของดีลพลิกขั้ว ว่าจะลงเอยอย่างไร
เกมปรับ ครม. ร้อนแรง! “บิ๊ก ด.เด็ก” VS ขั้วอนุรักษ์นิยม
แรงหนุนจาก “บิ๊ก ด.เด็ก” และ “ลุงคนดีย์” ผลักดันดีลพิเศษปรับ ครม.
กระแสข่าวการปรับ ครม. กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจาก “บิ๊ก ด.เด็ก” และ “ลุงคนดีย์” วีไอพีผู้ทรงอิทธิพล
สูตรพิเศษ “แบ่งดุล” แลกเก้าอี้ “รมว.กลาโหม”
ดีลพิเศษรอบใหม่นี้อาจไม่ลงตัว มีกระแสข่าวว่า “บิ๊ก ด.เด็ก” ต้องการอย่างน้อย “แบ่งดุลอำนาจ”
โดยตั้งธงขอ “แบ่ง” เก้าอี้ใหญ่ “รมว.กลาโหม” ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ก่อนตั้งรัฐบาล แลกกับการปล่อยให้เพื่อไทยโชว์ฝีมือด้านเศรษฐกิจ
ขั้วอนุรักษ์นิยม ยึดมั่น “กองทัพ” ดูแลความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม ขั้วอนุรักษ์นิยม ต้องการคุม “กองทัพ” เพื่อดูแลโหมดความมั่นคงของประเทศ
โจทย์ใหญ่ “บ้านนรสิงห์” และ “บ้านจันทร์ฯ”
หากดีลพิเศษนี้เกิดขึ้นจริง โจทย์ใหญ่ที่รออยู่คือ ทีม “บ้านนรสิงห์” และ “บ้านจันทร์ฯ” จะต้องจัดการกับคิวปรับ ครม.
การเดินทางของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา
ในวันที่แสงแห่งความหวังยังคงส่องสว่าง, “นายกรัฐมนตรีเศรษฐา” ยังคงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ด้วยความมั่นใจที่ยังไม่ถึงขีดจำกัดของอำนาจ การทำงานอย่างเข้มข้นในการบริหารงานรัฐกิจ พร้อมทั้งสร้างกระแสสนับสนุนรัฐบาล และตอบแทนพรรคเพื่อไทย ด้วยการวางแผนเยี่ยมชมพื้นที่ต่างๆอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ภาคเหนือ ไปจนถึงภาคอีสาน, ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก จนกระทั่งถึงภาคใต้ของประเทศ
“การบริหารงานอาจประสบกับอุปสรรคเนื่องจากสถานการณ์ที่ผู้คนจับตามอง ซึ่งเกิดจากการที่อำนาจในการบริหารถูกจำกัดลง หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้ก่อตั้งศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่บ้านจันทร์ฯ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับทำเนียบรัฐบาลบ้านนรสิงห์
แม้จะมีข้อจำกัดบางประการ แต่ไม่ถือเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถเอาชนะได้ เนื่องจากเราเห็นว่านายกรัฐมนตรีเศรษฐายังคงดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน หากมีคำสั่งใดที่ไม่ได้รับการตอบสนอง รัฐมนตรีและเสนาบดีจากพรรคร่วมก็จะไม่มีการแสดงออก
ในกรณีที่จำเป็น ก็อาจต้องลงมือดำเนินการแก้ไขปัญหาด้วยตนเองถึงระดับปฏิบัติการ การลงมือปรับปรุงและแก้ไขกลไกการบริหารของข้าราชการเป็นสิ่งที่ได้รับการดำเนินการหลายครั้ง เพราะการเมืองจำเป็นต้องดำเนินต่อไป และการบริหารงานของประเทศก็ต้องเดินหน้าต่อไป
แรงกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองไทยมีมาจากหลายด้าน
ความไม่พอใจของประชาชนที่เริ่มส่งผลให้ประชาชนเริ่มไม่พอใจกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ ประชาชนจึงต้องการการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการเมืองที่ดีกว่า
รวมถึงการเติบโตของโซเชียลมีเดียที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายขึ้น และสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองได้อย่างเสรี ส่งผลให้เกิดการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ ทำให้โครงสร้างประชากรไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับคนรุ่นใหม่มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการใหม่ ๆ ในสังคมความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลง
มีความเป็นไปได้หลายประการที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองไทย
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนเรียกร้องมาโดยตลอด การปฏิรูปรัฐธรรมนูญจะช่วยเปิดทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในระบบการเมือง
การเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในระบบประชาธิปไตย ประชาชนสามารถใช้สิทธิเลือกตั้งเพื่อเลือกผู้แทนที่ตรงใจ และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมือง รวมถึงการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม: ภาคประชาสังคมมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม
ประเด็นเพิ่มเติม
บทบาทของพรรคการเมือง: พรรคการเมืองต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย นำเสนอนโยบายที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน และทำงานอย่างโปร่งใส ยุติธรรม
บทบาทของสื่อมวลชน: สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอข่าวสารอย่างตรงไปตรงมา ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และสร้างพื้นที่สาธารณะสำหรับการถกเถียงบทบาทของคนรุ่นใหม่: คนรุ่นใหม่มีศักยภาพที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในสังคม คนรุ่นใหม่ต้องใช้สิทธิของตัวเอง ร่วมแสดงความคิดเห็น และทำงานเพื่อพัฒนาประเทศ
