Work Life Balance คืออะไร มาหาคำตอบกัน ในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ได้มีการพูดถึงซึ่งถือเป็นประเด็นที่คนวัยทำงานในยุคนี้ได้พบเจอ คือการทำงานที่เกินขอบเขตการรับผิดชอบงาน หรืองานที่กลืนกินเวลาส่วนตัว
ส่งผลกระทบถึงการทำงานที่ไม่มีความสุขและทำให้หมดไฟ จนทำให้เกิดอัตราการลาออกของพนักงานประจำเป็นจำนวนมากขึ้น และผู้คนในยุคใหม่หันไปทำงานฟรีแลนซ์กันหลากหลาย เพื่อการจัดการเวลาชีวิตที่ตามต้องการ Work Life Balance คืออะไร มาหาคำตอบกัน
ความต้องการในการทำงานของยุคใหม่
ปัจจุบันมีการทำงานที่เรียกว่าระบบ Hybrid Working ซึ่งเป็นการเลือกทำงานสถานที่ใดก็ได้ ไม่ว่าออฟฟิศหรือที่บ้าน เกิดมาจากช่วงระบาดของโรคโควิด19 ทำให้เกิดการ work from home เมื่อมีการทำงานที่เป็นระบบยืดหยุ่น
เมื่อพนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้อาจรู้สึกมีอิสระในการทำงาน และได้เปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน ทำให้พนักงานทำงานมีประสิทธิภาพและมีความสุขกับการทำงานมากยิ่งขึ้น มีการบริหารจัดการเวลาหรือเรื่องส่วนตัวได้ตามความต้องการเลย
แนวคิดการทำงานแบบปรับสมดุล
เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว เพื่อลดผลกระทบจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งมีประโยชน์สำหรับคนยุคใหม่ ทั้งที่ทำงานประจำและอาชีพอิสระ
คำว่า “สมดุล” ในที่นี้ หมายถึง การทำงานและการใช้ชีวิตไม่ส่งผลกระทบในแง่ลบต่อกันและกัน ในบางจังหวะชีวิตอาจทำงานหนักกว่าการใช้เวลาส่วนตัว หรือในบางช่วงภาระความรับผิดชอบต่าง ๆ ในชีวิตก็เรียกร้องให้เอาใจใส่มากกว่า ในบางครั้งเราอาจะต้องแบ่งชีวิตให้เป็น 50:50 เพื่อการใช้ชีวิตตามที่ต้องการและการทำงานให้มีความสุข
ผลสำรวจของคนกลุ่มวัยทำงาน
จาก Adecco Group ที่สำรวจความคิดเห็นของคนทำงานจากกลุ่มตัวอย่าง 34,200 คนใน 25 ประเทศทั่วโลก ในช่วงอายุ 18-60 ปี พบว่า โดยส่วนใหญ่ให้ความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เป็นการทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพในการทำงาน หรือบางกลุ่ม คือ ทำให้มีความสุขกับการทำงานในๆทุกวัน และมีเวลาไปทำในสิ่งที่ชอบหรือต้องการ
โดยมีผลสำรวจออกมาดังนี้
40% ยกให้การมี Work Life Balance ที่ดีเป็นสิ่งที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน
32% คือการมีความสุขกับการทำงานในทุกๆ วัน
30% มีงานที่มั่นคง
30% มีความยืดหยุ่นในการทำงาน
29% ได้ทำงานที่ตรงกับความชอบของตนเอง
ความสำคัญในมุมขององค์กร
ในมุมของบริษัท ปัญหา Work-Life Balance ยังคือปัญหาที่หลากหลายองค์กรยังละเลยอยู่ เนื่องจากเมื่อมองดูอย่างผิวเผินแล้ว การที่บุคลากรทุ่มเททำงานมากให้บริษัทน่าจะเป็นเรื่องที่บริษัทได้ประโยชน์เต็มๆ
ความจริงแล้ว การที่บุคลากรขาด Work-life balance จะทำให้เกิดผลเสียต่อความสามารถการทำงานโดยรวมของบริษัท/หน่วยงานเสมือนการที่โดมิโน่ล้มต่อกันไปเรื่อย
เริ่มจากปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพบุคลากรที่ตกต่ำลงจากการทำงานหนักรวมทั้งขาดเวลาสำหรับการดูแลตนเอง ปัญหาด้านสุขภาพหัวใจจากการทำงาน อาทิเช่น สภาวะเครียด วิตกกังวล หรือรุนแรงถึงภาวะหมดไฟ และก็สภาวะซึมเศร้า
วิธีสร้างความสมดุลให้กับชีวิต
กำหนดเป้าหมายวิธีการทำกิจกรรมต่างๆในทุกๆวันควรจะกำหนดเป้าหมายรวมทั้งจัดรายการลำดับการทำงานในทุกๆวันเพื่อการจัดการเวลาได้ดีขึ้น
เคารพเวลาพักผ่อนของตัวเองเมื่อถึงเวลาพักควรจะหยุดนึกถึงเรื่องงาน ไม่นำงานกลับมาทำที่บ้านปิดโทรศัพท์มือถือ ใช้เวลาพักเพื่อเป็นรางวัลให้กับความอดทนและก็ตั้งอกตั้งใจของตัวเองในทุกวัน
ใช้เวลากับคนรอบกายให้เพิ่มมากขึ้นการแบ่งเวลาให้กับคนรอบข้างหรือคนในครอบครัวจะมีผลดีต่อความสัมพันธ์ และก็ช่วยบรรเทาความตึงเครียดหรือความทุกข์ใจภายในจิตใจ จึงไม่สมควรปล่อยทิ้งคนรอบข้างที่ควรจะให้ความใส่ใจ
และเพิ่มการเอาใจใส่กับตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆควรจะแบ่งเวลาเพื่อดูแลรักษาสุขภาพร่างกายตัวเอง ดังเช่นว่า บริหารร่างกาย ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ พักให้พอเพียง ทำกิจกรรมที่ถูกใจเพื่อคลายความเครียด จะช่วยทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรงพร้อมสำหรับในการดำเนินการและก็การใช้ชีวิต
ประโยชน์ของการทำงานที่มีความพอดีกับชีวิต
เพื่อให้เราและเพื่อนร่วมงานมีเวลาในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนควรมองข้ามชีวิตการทำงาน แต่ทุกคนควรจำไว้ว่างานและชีวิตนอกเหนือจากงานมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เพื่อนร่วมงานของคุณไม่ได้เป็นเพียงคนที่มาพร้อมการทำงานเป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน
แต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน โดยมีภาระหน้าที่อันมีค่าหลายร้อยอย่างนอกเหนือจากงาน เมื่อคุณทุกคนสามารถปรับตัวเองเข้ากับวิธีคิดนี้ได้ คุณจะพบว่าทุกคนสามารถสร้าง Work Life Balance ที่มีคุณภาพร่วมกันได้อย่างแท้จริง