เช้านี้ไปโรงพยาบาลตั้งแต่ตีห้าครึ่ง มองไปรอบๆ เห็นฝุ่นละอองเยอะ คงคล้ายๆ ปีก่อนที่ฝุ่นเยอะติดต่อกันหลายเดือน คงต้องใส่หน้ากากทุกครั้งเวลาออกจากบ้านเพื่อป้องกัน ฝุ่น PM 2.5
จากโพสต์เฟซบุ๊กของ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ (“Thira Wora tanarat (ป๊ามี้คีน)”) พาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ท่านพานิสิตแพทย์ไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในจังหวัดชลบุรี
การเดินทางครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการเยี่ยมเยียนธรรมดา แต่เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่โลกแห่งการเรียนรู้ระบบสาธารณสุขไทย นิสิตแพทย์ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์จริง พบปะพูดคุยกับบุคลากรทางการแพทย์ และเรียนรู้วิธีการทำงานของ รพ.สต.
ประเด็นสำคัญ ที่น่าสนใจคือ รพ.สต.ทั้งหมดในชลบุรีได้โอนย้ายไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) กระทรวงมหาดไทยแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ นำมาซึ่งคำถามมากมายเกี่ยวกับอนาคตของระบบสาธารณสุขไทย
ในยุคสมัยที่สังคมไทยเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บทบาทของหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน หน่วยงานเหล่านี้ไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่ต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
“เมื่ออากาศที่เราหายใจเป็นพิษ สัญญาณเตือนจาก PM2.5”
การศึกษาทั่วโลกได้เปิดเผยว่า อนุภาคของ ฝุ่น PM 2.5 มีผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยเฉพาะในเรื่องของโรคมะเร็งปอด ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่สามารถเกิดจากการสูดดมอนุภาคเหล่านี้เข้าไปในร่างกาย นอกจากนี้ อนุภาค PM 2.5 ยังเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพอื่นๆ เช่น โรคหอบหืด และการอักเสบของหลอดลมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถนำไปสู่การเสื่อมสภาพของระบบทางเดินหายใจได้
การสัมผัสกับ PM2.5 ในระยะยาวยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคทางหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคไตเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ การเข้าใจถึงผลกระทบเหล่านี้ช่วยให้เราตระหนักถึงความจำเป็นในการควบคุมและลดระดับของ PM 2.5 ในอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวัน
ฝุ่นละออง PM2.5 ภัยร้ายที่มองไม่เห็น
ฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลก อันตรายจากฝุ่นละอองเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายแรงต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย
ผลกระทบต่อสุขภาพ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง: โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอด โรคมะเร็ง
- ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ: ไอ จาม หายใจลำบาก หอบหืด
- ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน: ภูมิแพ้
- ส่งผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด: ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย
- ส่งผลต่อทารกในครรภ์: น้ำหนักตัวน้อย ภาวะครรภ์เป็นพิษ
แนวทางการป้องกัน
- ติดตามสถานการณ์: ตรวจสอบค่าฝุ่นละอองในพื้นที่
- ลดการสัมผัสฝุ่น: หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง สวมหน้ากากอนามัย
- ดูแลบ้านและสถานที่ทำงาน: ติดตั้งระบบระบายอากาศ เครื่องฟอกอากาศ
- ใส่ใจกลุ่มเสี่ยง: เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว
การแก้ปัญหาในเชิงสังคม
- พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ: ติดตั้งระบบกรองอากาศในสถานีขนส่งใต้ดิน
- รณรงค์ลดมลพิษ: ควบคุมควันพิษจากโรงงาน ยานพาหนะ
- สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด: ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม
ฝุ่น PM 2.5 เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของทุกคน การป้องกันตัวเองและร่วมกันแก้ปัญหาในเชิงสังคมเป็นสิ่งที่จำเป็น
โควิด-19 กลับมาเยือน สถานการณ์ในประเทศไทยและข้อควรระวัง
จำนวนผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลพุ่งสูงขึ้น
ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุข ชี้ให้เห็นสัญญาณเตือนภัยเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่กลับมาระบาดอีกครั้งในประเทศไทย ตัวเลขผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2566 เพิ่มสูงขึ้นถึง 47.6% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อน
ตัวเลขที่น่ากังวล
- เสียชีวิต 1 ราย
- ปอดอักเสบ 63 ราย
- ใส่ท่อช่วยหายใจ 43 ราย
- คาดการณ์ผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน 2,172-3,016 ราย
ตรวจ ATK ผลลบ อาจจะไม่ปลอดภัย
ข้อมูลสำคัญที่ควรทราบคือ การตรวจหาเชื้อด้วย ATK ในช่วง 3 วันแรกหลังมีอาการ มีความไวลดลงเหลือเพียง 30-60% เท่านั้น หมายความว่า มีโอกาสสูงที่จะตรวจพบผล “ลบปลอม”
ตรวจซ้ำเพื่อความมั่นใจ
แพทย์แนะนำให้ตรวจซ้ำอีกครั้งในวันที่ 4-5 หลังมีอาการ เพื่อเพิ่มโอกาสในการตรวจพบเชื้อ
จำนวนผู้ติดเชื้อจริงอาจสูงกว่าที่คาดการณ์
ด้วยข้อจำกัดของการตรวจ ATK ประกอบกับผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งไม่แสดงอาการ ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อจริงในแต่ละวัน น่าจะมีมากกว่าตัวเลขที่รายงานอย่างเป็นทางการ
สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
โควิด-19 ไม่ใช่แค่ไข้หวัดธรรมดา
- ติดเชื้อแต่ละครั้ง ป่วยนานกว่า
- เสี่ยงต่ออาการผิดปกติหลังติดเชื้อ
- เสี่ยงเสียชีวิต
- เสี่ยงต่อภาวะลองโควิด และโรคเรื้อรังอื่นๆ
แม้ว่ามนุษย์จะพัฒนาวัคซีนและยาเพื่อต่อสู้กับโรคระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่โรคร้ายเหล่านี้ยังคงคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมากในอดีตและปัจจุบัน ตัวอย่างโรคระบาดร้ายแรง ได้แก่ กาฬโรค ฝีดาษ อหิวาตกโรค ไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี/เอดส์ และล่าสุดคือ โควิด-19
แม้จะไม่มีทางป้องกันโรคระบาดได้อย่างสมบูรณ์ แต่เราสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ได้ดีขึ้น โดย
- พัฒนาระบบเฝ้าระวังและติดตามโรค: การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้เราสามารถระบุและควบคุมโรคระบาดได้อย่างทันท่วงที
- ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา: การลงทุนในการวิจัยและพัฒนายารักษาโรคและวัคซีน จะช่วยให้เราสามารถควบคุมโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- สร้างความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน: การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคระบาด วิธีการป้องกัน และการรักษา จะช่วยลดความตื่นตระหนกและส่งเสริมให้ผู้คนมีพฤติกรรมที่ปลอดภัย
- เสริมสร้างระบบสาธารณสุข: ระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโรคระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ฝุ่น PM 2.5” และ “วิกฤตโควิด-19” สอนให้เรารู้ว่า ในยามวิกฤต แต่ละคนต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง การเรียนรู้จากบทเรียน และเตรียมพร้อมรับมือกับภัยคุกคามใหม่ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
โอมิครอน งานวิจัยจากสหรัฐอเมริกา เผยให้เห็นความน่าตกใจว่า เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มแพร่เชื้อโอมิครอนได้มากกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า สิ่งนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพเด็กๆ และวัยรุ่น
4 เหตุผลทำไมเด็กและวัยรุ่นจึงแพร่เชื้อโอมิครอนได้ง่าย?
- เด็กมักมีกิจกรรมรวมกลุ่ม เล่นสนุกใกล้ชิดกัน ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่าย
- เด็กมีภูมิคุ้มกันน้อยกว่าผู้ใหญ่
- เด็กอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ
- เด็กมักได้รับการตรวจคัดกรองน้อยกว่าผู้ใหญ่
โควิด-19 ยังคงอยู่กับเรา และสายพันธุ์ใหม่ BA.2.86.x กำลังแพร่ระบาดในหลายประเทศ คาดการณ์ว่าปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า สถานการณ์โลกจะชัดเจนขึ้น
แนวทางป้องกัน
- ดูแลสุขภาพเด็กๆ และวัยรุ่นอย่างใกล้ชิด
- สอนให้เด็กๆ รู้จักป้องกันตนเอง ล้างมือบ่อยๆ สวมหน้ากากอนามัย
- สังเกตอาการเด็กๆ หากมีไข้ ไอ เจ็บคอ ให้รีบตรวจหาเชื้อ
- ฉีดวัคซีนให้ครบโดส ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
- ติดตาม ข่าวโรคระบาด สถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง