อย่าตื่นตระหนก! หลังเหตุ ญี่ปุ่นเผชิญโรคระบาด กรมควบคุมโรค ย้ำ “ไข้อีดำอีแดง” ไม่ใช่โรคอุบัติใหม่ พบในไทยมานาน เกิดจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ ติดต่อทางเดินหายใจ รักษาหายด้วยยาปฏิชีวนะ
ข่าวโรคระบาด เผยพบชาวญี่ปุ่นป่วยโรคไข้อีดำอีแดงพุ่งสูง สร้างความกังวลให้กับประชาชนทั่วโลก ทางการญี่ปุ่นเร่งหาสาเหตุ คาดว่าอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19
สำหรับประเทศไทย กรมควบคุมโรค ยืนยันว่า “โรคไข้อีดำอีแดง” อยู่ในระบบเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด พบผู้ป่วยเกือบ 5 พันคน ในช่วงปี 2562-2566 ยังไม่พบผู้ป่วยในปี 2567
โรคไข้อีดำอีแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ ติดต่อทางเดินหายใจจากการสัมผัสละอองฝอยจากผู้ป่วย
อาการของโรค
- ไข้สูง
- เจ็บคอ
- ไอ
- ต่อมน้ำเหลืองโต
- ผื่นแดงคล้ายตุ่มหนังไก่
- ลิ้นเป็นสีขาว
- 2-3 วัน ผื่นจะลอกเป็นแผ่น
การรักษา
- รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำให้มากๆ
การป้องกัน
- ล้างมือบ่อยๆ
- สวมหน้ากากอนามัย
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
ญี่ปุ่นเผชิญโรคระบาด ไข้อีดำอีแดง โรคระบาดที่กำลังสร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนชาวญี่ปุ่น กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียน สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ” ส่งผลร้ายแรงต่อระบบทางเดินหายใจ
กรมควบคุมโรค ขอความร่วมมือจากประชาชน เฝ้าระวังและสังเกตอาการตัวเอง หากสงสัยว่าป่วยเป็นโรคไข้อีดำอีแดง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
ตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูง เกิน 4 พันรายใน 5 ปี
ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจุบัน โรคติดเชื้อเสตรปโตคอคคัส ชนิดเอ หรือที่รู้จักในชื่อ “ไข้อีดำอีแดง” ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในด้านสาธารณสุขทั่วโลก โดยเฉพาะในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีการรายงานการระบาดของโรคนี้อย่างต่อเนื่อง จากการเฝ้าระวังโรคของกรมควบคุมโรค มีผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 4,989 ราย ตั้งแต่ปี 2562 และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคนี้
โรคนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจเท่านั้น แต่ยังสามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนังได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การลุกลามอย่างรวดเร็วและอาการรุนแรงในบางกรณี การรักษาที่มีประสิทธิภาพสามารถทำได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ และการไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญในการลดความรุนแรงของโรคและการแพร่เชื้อ
มาตรการป้องกันที่ได้รับการยืนยันว่ามีประสิทธิภาพในการลดการแพร่ระบาดของโรคนี้ ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ และการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนจำนวนมากอยู่รวมกัน นอกจากนี้ การรักษาความสะอาดในโรงเรียนและการทำความสะอาดอุปกรณ์และของเล่นเป็นประจำก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
กรมควบคุมโรคยังคงติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคนี้ในญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด และขอแนะนำให้ประชาชนที่มีอาการไข้, เจ็บคอ, ผื่นสากนูน, หรือตุ่มหนองที่ผิวหนังรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษา นอกจากนี้ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลในระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ หากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรคที่หมายเลข 1422