องค์การอนามัยโลกเผย ผู้ป่วยโรคหัดในยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 45 เท่าเมื่อปีก่อน พร้อมเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ หามาตรการป้องกันเร่งด่วน
เมื่อวันอังคารที่ 23 ม.ค. 2567 องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโรคหัดในทวีปยุโรปเมื่อปีก่อน เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจถึงเกือบ 45 เท่า จาก 941 รายในปี 2565 เป็นราว 42,200 รายในปี 2566 พร้อมเตือนด้วยว่า จำนวนผู้ป่วยยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปมากกว่านี้
WHO การระบาดที่เพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจาก มีเด็กๆ ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัดน้อยลงในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดร.ฮานส์ คลูจ ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคยุโรป พูดถึงสถานการณ์ในยุโรปว่า “เราได้เห็นผู้ป่วยโรคหัดในภูมิภาค ที่ไม่เพียงเพิ่มขึ้นกว่า 30 เท่า แต่ยังมีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลเกือบ 21,000 ราย และมีการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคหัดอีก 5 ศพ นี่เป็นเรื่องน่ากังวล”
“วัคซีนเป็นทางเดียวที่จะปกป้องเด็กๆ จากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากโรคนี้” ดร.คลูจกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน หน่วยงานสาธารณสุขในสหราชอาณาจักรเพิ่งออกมาบอกว่า การระบาดของโรคหัดที่กำลังเกิดขึ้นในเขตเวสต์ มิดแลนด์ส อาจแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังเมืองอื่นๆ ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนป้องกันต่ำ
ตามข้อมูลจาก สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ (NHS England) ปัจจุบันมีเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีมากกว่า 3.4 ล้านคน ที่ไม่ได้รับวัคซีน และเสี่ยงล้มป่วยจากการติดเชื้อโรคหัด
ทางการอังกฤษกำลังติดต่อและเรียกร้องให้ พ่อแม่หรือพี่เลี้ยงเด็กนับล้านคนในประเทศ ให้นัดหมายพาเด็กๆ เข้ารับวัคซีน MMR สำหรับต้านโรคหัด, คางทูม และ หัดเยอรมัน ซึ่งตามปกติแล้วต้องรับ 2 โดส เข็มแรกตอนอายุราว 1 ขวบ และเข็มที่ 2 ตอนเด็กมีอายุราว 3 ปี 4 เดือน
วัคซีน MMR มีประสิทธิภาพป้องกันโรคหัดสูงมาก แต่ตอนนี้ มีเด็กวัยประถมในสหราชอาณาจักรเพียง 85% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีนดังกล่าวครบ 2 โดส
อนึ่ง โรคหัดสามารถทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงได้ในคนทุกวัย โดยมักจะเริ่มจากมีไข้สูงตามด้วยผื่นคัน ซึ่งตามปกติจะหายไปเองภายใน 10 วัน แต่อาจเกิดอาการแทรกซ้อนได้หลายอย่าง ทั้งปอดบวม, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, สูญเสียการมองเห็น หรือ อาการชัก
ผู้ที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือ เด็กทารกที่อายุน้อยเกินกว่าจะรับวัคซีน และสตรีมีครรภ์ที่ภูมิคุ้มกันลดต่ำลง การตัดโรคหัดระหว่างตั้งครรภ์อาจนำไปสู่การเสียชีวิตในครรภ์ของทารก, การแท้ง หรือทำให้เด็กที่เกิดมามีน้ำหนักน้อยผิดปกติได้
