ในเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 นี้ พบว่าเศรษฐกิจไทยได้รับแรงกระตุ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่จังหวัดต่างๆ ที่เห็นการเพิ่มขึ้นของการท่องเที่ยวอย่างชัดเจน มีรายงานว่ามีชาวไทยกว่า 60% เลือกที่จะเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ในประเทศหรือกลับไป เล่นน้ำสงกรานต์ ยังบ้านเกิด ซึ่งส่งผลให้ยอดการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า สถานที่ที่คึกคักที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ภูเก็ต, ระยอง, อุดรธานี, จันทบุรี และชลบุรี นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงและเดินทางมากที่สุด โดยได้กลับมาครองตำแหน่งอันดับหนึ่ง แซงหน้าประเทศมาเลเซียที่เคยเป็นผู้นำในอดีต
หากพูดถึงเทศกาล “มหาสงกรานต์” แน่นอนว่านับเป็นช่วงเวลาเด็ดแห่งปี ที่บรรดาชาวไทย และต่างชาติ ต่างก็เฝ้ารอคอย เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะได้หยุดพักผ่อน เดินทางกลับภูมิลำเนา เพื่อกลับไป เล่นน้ำสงกรานต์ พร้อมครอบครัวอันเป็นที่รัก ส่วนทางด้านคนเมือง และนักท่องเที่ยวต่างชาติ นั้นก็เตรียมที่จะเฉลิมฉลองข้ามวันข้ามคืน กับการสาดน้ำ เปิดเพลงเพลิดเพลินกับเพื่อนและคนคู่ใจ นั่นจึงทำให้ “วันสงกรานต์” ถือเป็นเทศกาลชั้นดีในช่วงหน้าร้อนที่ใครๆ ต่างก็ให้ความสำคัญ
ในครั้งนี้ The 1 Insight ร่วมกับ CRC VoiceShare เผยเทรนด์ผู้บริโภคช่วงเทศกาลสงกรานต์ เปิดลิสต์สินค้าคลายร้อนที่มียอดขายเติบโตโดดเด่นในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยนี้ พร้อมชี้เศรษฐกิจภาพรวมคึกคัก โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด ดันยอดการใช้จ่ายเติบโต 2 เท่าตัว สูงสุดใน 5 จังหวัดหัวเมืองสำคัญ ได้แก่ ภูเก็ต ระยอง อุดรธานี จันทบุรี และชลบุรี
สงกรานต์ ปี 67 คนไทยแห่กลับบ้านมา เล่นน้ำสงกรานต์ เพียบ!
ในช่วงเทศกาลสำคัญของไทย ประชาชนจำนวนมากนิยมเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยมีการวางแผนการใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9,000 ถึง 18,000 บาทต่อคน สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันธ์กับวัฒนธรรม ประเพณี และครอบครัว ด้านการท่องเที่ยว พบว่านักท่องเที่ยวชาวจีนกลับมาเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงสุดในประเทศไทย แซงหน้ากลุ่มนักท่องเที่ยวจากมาเลเซีย การกลับมาของนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย และยืนยันถึงความน่าดึงดูดของประเทศไทย ในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่โดดเด่นในภูมิภาคอาเซียน
ในช่วงเวลาที่อากาศร้อนแรงของเดือนเมษายน ประเทศไทยจะเฉลิมฉลองเทศกาล เล่นน้ำสงกรานต์ ด้วยความสุขสนาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนมักจะหาสินค้าที่ช่วยให้คลายร้อน จากการสำรวจล่าสุดในช่วงต้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2566 พบว่ามีสินค้าหลายประเภทที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ช่วยให้ร่างกายเย็นสบายและสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการเฉลิมฉลอง ตัวอย่างเช่น:
- กระเป๋ากันน้ำ ที่มีการเพิ่มขึ้นถึง 260% เนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันของมีค่าจากน้ำในช่วง เล่นน้ำสงกรานต์
- พัดลม ที่เพิ่มขึ้น 250% เพื่อสร้างลมเย็นในบ้านหรือที่ทำงาน
- เครื่องปรับอากาศ ที่เพิ่มขึ้น 230% ช่วยให้ห้องพักผ่อนหรือสถานที่ทำงานมีอากาศเย็นสบาย
- เสื้อลายดอก ที่เพิ่มขึ้น 110% เป็นเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการเฉลิมฉลองและสวมใส่สบาย
- น้ำแข็ง ที่เพิ่มขึ้น 70% ใช้ในการทำเครื่องดื่มเย็นหรือเพื่อความสดชื่น
- ไอศกรีม ที่เพิ่มขึ้น 60% เป็นของหวานที่ช่วยให้รู้สึกเย็นฉ่ำ
- แป้งทาตัว ที่เพิ่มขึ้น 50% ช่วยให้ผิวหนังรู้สึกเย็นและหอมสดชื่น
- ครีมกันแดด ที่เพิ่มขึ้น 40% ปกป้องผิวจากรังสี UV ในช่วงที่แดดแรง
- ยาดม ที่เพิ่มขึ้น 30% ใช้สำหรับบรรเทาอาการวิงเวียนหรือเมื่อยล้า
- น้ำยาเปลี่ยนสีผม ที่เพิ่มขึ้น 20% เพื่อการเปลี่ยนแปลงลุคใหม่ในช่วงเทศกาล
คลายร้อนริมทะเล 60% ของคนไทยใฝ่ฝันอยากไปทะเลช่วงเทศกาลนี้
ในช่วงเวลาที่ความร้อนของแดดเผาผิว ประชาชนชาวไทยกว่า 60% ต่างแสดงความปรารถนาที่จะเดินทางไปยังสถานที่ที่สามารถให้ความเย็นสบายและความสุขใจ การสำรวจล่าสุดจาก CRC VoiceShare ได้เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลนี้ มีคนไทยจำนวนมากที่วางแผนจะเดินทางภายในประเทศ ไม่ว่าจะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจหรือการกลับสู่ถิ่นกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดที่ติดทะเลอย่างชลบุรี, ระยอง, และภูเก็ต ได้รับความนิยมสูงสุด
การเลือกเดินทางไปยังจังหวัดเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการหลีกหนีจากอุณหภูมิที่ร้อนระอุเท่านั้น แต่ยังเป็นการค้นหาความสงบและความงามที่ซ่อนอยู่ในท้องทะเลไทย ที่นี่ ทะเลไม่เพียงแต่เป็นแหล่งน้ำที่ใหญ่โต แต่ยังเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นสถานที่ที่มีชีวิตชีวาด้วยกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่การดำน้ำชมปะการัง ไปจนถึงการพักผ่อนบนชายหาดที่เงียบสงบ
การเดินทางในช่วงเทศกาลนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างความทรงจำที่ดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณและการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ ที่สำคัญ การท่องเที่ยวเช่นนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น สร้างงาน และส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้เทศกาล เล่นน้ำสงกรานต์ ไม่เพียงแต่เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายและส่งผลดีต่อสังคมไทยโดยรวม
สงกรานต์ปีนี้ เที่ยวไหนดี? เช็คค่าใช้จ่าย & รูปแบบการท่องเที่ยวก่อนตัดสินใจ
ข่าวท่องเที่ยว เผยในช่วงวันที่ 12 ถึง 16 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เทศกาลสงกรานต์เกิดขึ้น การเดินทางในช่วงนี้มักจะมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป โดยประมาณการค่าใช้จ่ายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 9,000 ถึง 18,000 บาท แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก ดังนี้:
- ค่าเดินทาง: ประมาณ 5,000 ถึง 10,000 บาท โดยมีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก (72%) ตามมาด้วยการใช้บริการขนส่งสาธารณะ (15%) และการเดินทางโดยเครื่องบิน (13%)
- ค่าที่พัก: ประมาณ 1,000 ถึง 3,000 บาท
- ค่ากินและเที่ยว: ประมาณ 3,000 ถึง 5,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีประชากรไทยอีก 30% ที่เลือกที่จะ เล่นน้ำสงกรานต์ อยู่ที่บ้านในจังหวัดของตนเอง พวกเขามักจะใช้เวลากับครอบครัว ไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้า และร่วมกิจกรรมรดน้ำดำหัวญาติผู้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีอีก 10% ที่วางแผนเดินทางไปต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายหลักคือประเทศญี่ปุ่น และตามด้วยประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น จีน ไต้หวัน และเวียดนามและอื่น ๆ
ทลายสถิติ! นักท่องเที่ยวจีน-มาเลเซีย-รัสเซีย แห่บินลัดฟ้าสู่ไทย
ในปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดการท่องเที่ยวได้เห็นการฟื้นตัวอย่างน่าทึ่ง โดยมีการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวถึงสองเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตามข้อมูลจากฐานข้อมูล The 1 ซึ่งเป็นการเติบโตที่สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจและความกระตือรือร้นที่กลับมาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากสามประเทศที่มีการใช้จ่ายสูงสุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย และรัสเซีย
นักท่องเที่ยวจากจีนโดยเฉพาะ ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตที่น่าทึ่ง ด้วยการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายถึงสิบเท่าในปี 2566 เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นสัญญาณของการฟื้นตัว แต่ยังบ่งบอกถึงแนวโน้มที่จะกลับไปสู่ระดับการใช้จ่ายก่อนการระบาดของโควิด-19
Gen Y พักกาย พักใจ ชาร์จพลังให้ชีวิต กับสงกรานต์ปีนี้
จากการสำรวจของ CRC VoiceShare เกี่ยวกับความรู้สึกของคนไทยในแต่ละช่วงวัยต่อเทศกาลสงกรานต์พบว่า Gen Z มองว่าการ เล่นน้ำสงกรานต์ เป็นช่วงเวลาของความสนุกสนาน พวกเขามักจะนึกถึงการเล่นน้ำและการสนุกสนานกับเพื่อนๆ ในขณะที่ Gen Y มองเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการพักผ่อนและหยุดจากการทำงาน เพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและเวลาส่วนตัว
สำหรับ Gen X สงกรานต์เป็นเวลาที่สำคัญในการรวมตัวของครอบครัว พวกเขามักจะนึกถึงการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่และการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว ในขณะที่ Baby Boomers มองเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการแสดงความเคารพและการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงการให้คุณค่าและการเคารพผู้สูงอายุ