รายงานจากยูเอ็นชี้ว่าปัญหา ขยะอิเล็กทรอนิกส์พุ่ง ยังคงเป็นความท้าทายใหญ่ โดยคาดการณ์ว่า ปริมาณขยะประเภทนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 82 ล้านตันภายในปี 2030 ซึ่งเป็นสัญญาณของการจัดการที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ
ในยุคที่ ข่าวสิ่งแวดล้อม กลายเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง การจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์หรือ “อี-เวสต์” ก็เป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจไม่น้อย ปัญหานี้เกิดจากการที่ปริมาณขยะประเภทนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อี-เวสต์ประกอบด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือที่เลิกใช้ ปลั๊กไฟที่เสีย หรือแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งล้วนแต่มีส่วนประกอบของสารเคมีอันตราย เช่น ปรอท, ตะกั่ว, และแคดเมียม ที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกต้อง
คีส์ บัลเด ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์อาวุโสจากโครงการวงจรความยั่งยืน (Sustainable Cycles Programme) ของสถาบันเพื่อการอบรมและวิจัยแห่งสหประชาชาติ (UNITAR) ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่เรากำลังเผชิญในการจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์
โดยเขากล่าวว่า “เรากำลังเผชิญกับภูเขาขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และน่าเศร้าที่ความพยายามในการรีไซเคิลไม่สามารถตามทันการเพิ่มขึ้นของขยะเหล่านี้ได้ ข้อมูลล่าสุดระบุว่ามีเพียง 22.3% ของขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับการรวบรวมและรีไซเคิลอย่างเหมาะสม ทำให้มีปริมาณขยะที่ยังคงถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธีอีกมากมาย และสิ่งที่น่าตกใจคืออัตราการเพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นเร็วกว่าการรีไซเคิลถึงห้าเท่า”
การรับมือกับปัญหานี้ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค หน่วยงานรัฐ และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อสร้างระบบการรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน นอกจากนี้ การส่งเสริมการใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ให้ยาวนานขึ้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถรีไซเคิลได้ง่ายขึ้น และการให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี ก็เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยลดปัญหานี้ได้
ในปี 2022 โลกต้องเผชิญกับปัญหา ขยะอิเล็กทรอนิกส์พุ่ง สูงจนน่าตกใจ โดยมีปริมาณถึง 62 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 82% เมื่อเทียบกับปี 2010 และทุกๆ ปี ปริมาณขยะเหล่านี้ยังคงเพิ่มขึ้นอีก 2.6 ล้านตัน ทำให้คาดการณ์ว่า ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์อาจพุ่งสูงถึง 82 ล้านตันภายในปี 2030
ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์นี้ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจากสหประชาชาติได้ชี้แจง ได้แก่ การบริโภคที่เพิ่มขึ้น, ทางเลือกในการซ่อมแซมที่จำกัด, วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง และระบบโครงสร้างพื้นฐานในการจัดการขยะที่ยังไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ บัลเด ยังได้เน้นย้ำว่า แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดการใช้พลังงาน เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ โดยในปี 2022 มีแผงโซลาร์เซลล์ที่กลายเป็นขยะประมาณ 600 ล้านกิโลกรัม
คอสมอส ลักกีสัน ซาวาซา ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาโทรคมนาคมของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ได้ชี้ให้เห็นว่า การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้น ผู้ผลิตจำเป็นต้องรับผิดชอบในการผลิตสินค้าที่มีวงจรชีวิตที่ยาวนานขึ้น
การรับผิดชอบของผู้ผลิตไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างมาตรฐานที่เป็นธรรมและยุติธรรม ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมาควรมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ไม่ควรออกแบบมาให้มีวงจรชีวิตที่สั้นเพื่อหวังผลกำไรจากการซื้อซ้ำ การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาวด้วย ซาวาซา ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีจริยธรรมในการผลิต และการให้ความสำคัญกับผู้บริโภคเป็นอันดับแรก