‘MGC-ASIA’ ประกาศผลดำเนินงานปี 2566 ทำรายได้ 25,133 ล้านบาท เติบโต 9% ลั่นปี 2567 ผนึก ปตท.กวาด EV จีนเสริมทัพ 2 แบรนด์ Xpeng และ ZEEKR ทำรายได้ทะลุ 3 หมื่นล้าน เดินหน้าขยายระบบนิเวศทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
วันที่ 1 มีนาคม 2567 ดร.สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น (เอเชีย) จำกัด (มหาชน) หรือ MGC-ASIA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2566
ทำรายได้ 25,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานทำได้ 711 ล้านบาท และวางเป้าหมายปี 2567 รายได้ทะลุ 3 หมื่นล้านสร้างการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมขยายระบบนิเวศทางธุรกิจหรือ MGC-ASIA Ecosystem ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบคลุมทุกมิติ พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอกย้ำผู้นำธุรกิจไลฟ์สไตล์โมบิลิตี้ครบวงจร
“อาจจะดูขัดความรู้สึกนิดนึงในภาวะเศรษฐกิจหรือการเติบโตของจีดีพีแบบนี้ แต่เนื่องจากเรามีการสร้างอีโคซิสเต็มและมีพันธมิตรใหม่รวมถึงมีรถ EV จีน อีก 2 แบรนด์เข้ามาเสริม”
ทั้งนี้บริษัทได้บรรลุข้อตกลงการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจที่สำคัญ บริษัท อรุณพลัส ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านธุรกิจน้ำมันและพลังงานของไทย โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในแต่ละส่วนงานของทั้งสององค์กร เพื่อสร้างระบบนิเวศธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจร เป็นครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย ร่วมกันทำตลาดรถ EV แบรนด์ Xpeng และ ZEEKR
“เงื่อนไขการลงทุนมีสัดส่วนการถือหุ้นคนละครึ่ง มีรถครบทุกเซ็กเมนต์ทำตลาด เราไม่ได้เข้ามาตรการส่งเสริม EV 3.5 ของรัฐบาล การร่วมทุนครั้งนี้เตรียมไว้ 3 เฟส โดยแบรนด์ Xpeng เราเป็นเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ 3 ปี ส่วนแบรนด์ ZEEKR เป็นแค่ดีลเลอร์พาร์ตเนอร์ชิป เรามั่นใจว่าอีโคซิสเต็มที่เรามีอยู่ทั้งหมดจะหนุนธุรกิจและผลประกอบการให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้”
สำหรับผลจากการดำเนินปี 2566 แม้กำไรที่ทำได้ 711 ล้านบาทจะลดลง 21% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการแข่งขันด้านราคาในตลาดรถยนต์ใหม่ รวมถึงการชะลอตัวของการปล่อยสินเชื่อที่น้อยลง แต่บริษัทยังสามารถรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดที่ยังเติบโตขึ้น รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ และการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับปี 2567 MGC-ASIA มุ่งสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจครบวงจรภายใต้ MGC-ASIA Ecosystem ที่สมบูรณ์และแข็งแกร่ง ผ่านการขับเคลื่อนการเติบโต 4 กลุ่มธุรกิจหลัก เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ
ประกอบด้วย 1) กลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Retail Business) กลุ่มบริษัทวางเป้าหมายสร้างการเติบโตผ่านการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ เพื่อขยายฐานผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และมีแผนร่วมลงทุนกับกลุ่มพันธมิตร ขยายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร รองรับเมกะเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโต
2) ธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) สัดส่วนรายได้จากบริการหลังการขายมีอัตราเติบโตต่อเนื่องจากความไว้วางใจของลูกค้า โดยในปี 2566 มีจำนวนการเข้าใช้บริการ 201,051 ครั้ง เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และรายได้ต่อการบริการต่อครั้งเพิ่มขึ้นจาก 17,926 บาท เป็น 18,195 บาท นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับโลกอย่าง Tesla ให้ดำเนินธุรกิจศูนย์บริการซ่อมสีและตัวถังรถยนต์ไฟฟ้า Tesla Approved Body Shop (TAB) พร้อมมีแผนขยายสาขาเพื่อรองรับการเติบโตรถยนต์ไฟฟ้า
3) ธุรกิจบริการเช่ารถยนต์ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว และพนักงานขับรถ (Car Rental and Driver Services) ปี 2566 จำนวนรถให้เช่าระยะสั้น ภายใต้แบรนด์ ‘SIXT’ ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 40% โดยเฉพาะการเพิ่มรถยนต์ในกลุ่มพรีเมี่ยม รองรับปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการท่องเที่ยวในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยในปี 2566 รายได้รถเช่า SIXT เติบโตกว่า 40% เมื่อเทียบกับปี 2565 ด้านรถเช่าระยะยาวในปี 2566 จำนวนรถให้เช่าเติบโต 20% ทำให้ภาพรวม บจก.มาสเตอร์ คาร์เร้นเทิล มีรายได้รวมประมาณ 1,400 ล้านบาท เติบโต 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 นอกจากนี้ภายในปี 2567 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจไปยังกลุ่มรถบรรทุกเชิงพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Vehicle Rental) เพื่อให้บริการครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น
4) กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ (Other Services) บริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ จำกัด ผู้ให้บริการธุรกิจบริการประกันภัยชั้นแนวหน้า โดยในปีงบประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2565 ถึงกันยายน 2566 มีรายได้ 331 ล้านบาท เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% และเพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 289 ล้านบาท โดยเติบโตจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่แก่กลุ่มลูกค้าเดิม รักษาอัตราการต่ออายุกรมธรรม์ที่เพิ่มมากขึ้น และขยายไปสู่ตลาดใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และโครงการโครงสร้างพื้นฐาน โดยมีกำไรก่อนหักภาษีอยู่ที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ บริษัท อัลฟา เอกซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับบริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีพอร์ตสินเชื่อเติบโตจากปีก่อนหน้า 84% โดยมีสัดส่วนลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง (High Net Worth) เพิ่มขึ้นเป็น 50% ของพอร์ตสินเชื่อรวมตามเป้าหมาย และสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรผ่านการเสนอผลิตภัณฑ์ Yacht Financing และ Wealth Lending ให้กลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ผลการดำเนินงานปี 2567 เติบโตตามเป้าหมายที่กำหนด