กรมควบคุมโรคส่งสัญญาณเตือนภัย 4 โรคระบาดที่พร้อมโจมตี “ค่ายลี้ภัย” เมียนมา สร้างความหวาดหวั่นไปทั่ว โดยล่าสุด พบผู้ป่วยอุจจาระร่วงแล้ว 22 ราย และพบเด็กชายวัย 10 ขวบ ป่วยเป็นมาลาเรีย 1 ราย เจ้าหน้าที่เร่งนำส่งตัวเพื่อรักษาแล้ว
เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2567 พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค ได้กล่าวถึงสถานการณ์การดูแลสุขภาพผู้ลี้ภัยจากสงครามในเมียนมาที่เข้ามาพักพิงในประเทศไทย โดยเน้นย้ำถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดในค่ายลี้ภัย เมียนมา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่แออัด ซึ่งอาจนำไปสู่การติดต่อโรคได้ง่าย โดยเฉพาะโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจและโรคติดต่อจากการสัมผัส
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดใน “ค่ายลี้ภัย” เมียนมา
- สภาพแวดล้อมที่แออัด: ค่ายผู้ลี้ภัยมักมีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่น ขาดแคลนพื้นที่ส่วนตัว ส่งผลต่อสุขอนามัยและเพิ่มโอกาสการติดต่อโรค
- ระบบสุขาภิบาลที่ไม่เพียงพอ: การจัดการน้ำเสียและสิ่งปฏิกูลที่ไม่เหมาะสม อาจกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรค ส่งผลต่อสุขภาพของผู้พักพิง
- พฤติกรรมเสี่ยง: การขาดแคลนน้ำสะอาด การใช้ภาชนะร่วมกัน การไม่รักษาสุขอนามัยส่วนตัว ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการติดต่อโรค
4 กลุ่มโรคที่ต้องเฝ้าระวัง
- โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ: โรคเหล่านี้มักพบได้บ่อยในช่วงหน้าร้อน อาการที่พบบ่อยคือ อาเจียน ท้องเสีย ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- โรคติดต่อทางเดินหายใจ: โรคเหล่านี้อาจแพร่กระจายผ่านละอองฝอย การไอ จาม หรือการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อน โรคที่พบบ่อยในกลุ่มนี้ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ
- โรคป้องกันได้ด้วยวัคซีน: เด็กผู้ลี้ภัยบางรายอาจไม่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามกำหนด ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน เช่น โรคคอตีบ โรคหัด โรคโปlio
- โรคติดต่อนำโดยแมลง: แมลงนำโรค เช่น ยุง ริ้น อาจแพร่เชื้อโรคไข้เลือดออก มาลาเรีย Dengue fever ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
ป้องกันการระบาดใน “ค่ายลี้ภัย” เมียนมา ร่วมมือทุกภาคส่วน สร้างสิ่งแวดล้อมปลอดภัย
พญ.จุไร ชี้แจงว่า การป้องกันโรคระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน โดยต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อม
- บริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้สะอาด ปลอดโปร่ง ไม่แออัด อากาศถ่ายเทสะดวก
- ดูแลระบบจัดการน้ำดื่มและน้ำใช้ ป้องกันน้ำดื่มไม่สะอาดซึ่งอาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ
- รักษาความสะอาดของห้องส้วม ให้ถูกสุขลักษณะ
- เก็บขยะมูลฝอยอย่างถูกต้องตามหลักสุขาภิบาล
2. สุขอนามัยส่วนบุคคล
- เน้นย้ำการล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำสบู่ เป็นวิธีป้องกันโรคระบาดที่ง่ายและมีประสิทธิภาพ
- เตรียมน้ำสบู่สำหรับล้างมือไว้ให้พร้อมเสมอ เพราะแอลกอฮอล์เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่มือเปื้อนฝุ่นหรือสิ่งสกปรก
- สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ หรือพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่น
- ใช้เจลล้างมือเมื่อไม่มีน้ำและสบู่
- ทายากันยุงเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออกและโรคอื่นๆ ที่นำโดยยุง
3. อาหาร
- ควบคุมระบบการปรุงจัดเก็บและบริการอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ
- สนับสนุนให้ประชาชนรับประทานอาหารปรุงสุก ร้อน สะอาด
4. การฉีดวัคซีน
- ส่งเสริมให้เด็กได้รับวัคซีนพื้นฐานครบตามกำหนด
- รณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ
พญจุไรกล่าวว่าในส่วนของโรคทางเดินหายใจ หากมีอาการไอหรือจาม ควรสวมหน้ากากอนามัย ถ้าคุณสบายดีและอยู่ในที่ปลอดโล่ง อาจไม่ต้องใส่หน้ากาก แต่หากคุณไม่สบาย ควรรับผิดชอบต่อสังคมและสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะผู้ป่วยไม่ให้มีการแพร่เชื้อ อาการของโควิด-19 มีความคล้ายกับไข้หวัด อาจมีไข้ ไอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย และอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย
สำหรับการระวังโรคไข้เลือดออก ควรใช้ยาทากันยุงและสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด แม้ว่าอาจจะร้อนในช่วงนี้ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ข้างใน ยุงจะมาช่วงโพล้เพล้ ซึ่งจะช่วยป้องกันได้ ส่วนโรคเท้าช้างไม่พบบ่อยในบ้านเรา แต่ต้องคอยระวังจากตรงศูนย์อพยพ มีการตรวจเฝ้าระวัง และสนับสนุนยา.