อุณหภูมิลากฟ้า! ไทยร้อนทะลุ 50 องศา ระบบนิเวศเสื่อมโทรม มนุษย์สูญเสียแหล่งอาหาร เกิดโรคระบาดทั่วโลก หรือนี่คือ “สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ”
ความหลากหลายทางชีวภาพ เปรียบเสมือนระบบนิเวศที่ค้ำจุนชีวิตบนโลกให้คงอยู่ แต่ปัจจุบันระบบนิเวศกำลังถูกคุกคามจากกิจกรรมของมนุษย์ ส่งผลให้เกิด วิกฤตการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งอาจนำไปสู่ จุดจบของมวลมนุษยชาติ
ภาคธุรกิจ เองก็มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขวิกฤตนี้ โดยการนำ เกณฑ์วัด Bio-Credit มาใช้เพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพ กระตุ้นให้ธุรกิจปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและบริโภค ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามร้ายแรง อุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีรายงานว่าบางจังหวัดอาจร้อนทะลุ 50 องศาเซลเซียส สัญญาณเตือนจากธรรมชาตินี้ชี้ให้เห็นว่า โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่ร้ายแรง
โลกกำลังเปลี่ยน! ดร.พิรุณ ย้ำ อุณหภูมิโลกพุ่งสูง น้ำแข็งละลาย ดอกไม้บานแอนตาร์กติกา สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ
ทางด้าน ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช ผู้นำของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ ข่าวสิ่งแวดล้อม ได้แสดงความคิดเห็นที่น่าตกใจในการประชุมอรุณ สรเทศน์ รำลึก 2567 เกี่ยวกับภัยคุกคามที่โลกกำลังเผชิญอยู่ ดร.พิรุณ เน้นย้ำถึงปัญหาเร่งด่วนของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อระบบนิเวศและมวลมนุษยชาติ
“เราสามารถเห็นผลกระทบได้ชัดเจนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก เช่น หมีขั้วโลกที่มีชีวิตยากลำบาก เนื่องจากน้ำแข็งที่เขาอาศัยอยู่ละลายหมด หรือดอกไม้ที่บานในแอนตาร์กติกา ซึ่งเป็นความงดงามที่ซ่อนอันตราย เพราะดอกไม้ไม่ควรจะบานในที่ที่มีแต่น้ำแข็ง” ดร.พิรุณอธิบาย
ประเทศไทยเองก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน ดร.พิรุณเตือนว่า อุณหภูมิในประเทศไทยอาจจะสูงถึง 50 องศาเซลเซียส ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ อาหาร หรือการกิน
นอกจากนี้ นักวิชาการจากกรมทะเลและชายฝั่งยังเตือนว่า เราอาจจะเห็นปะการังฟอกขาวในน้ำทะเลอีกครั้ง ดร.พิรุณกล่าวว่า ปะการังเป็นระบบนิเวศน์ที่สำคัญ ช่วยป้องกันชายฝั่งทะเลจากคลื่นลมแรง และยังเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ทะเลหลายชนิด การสูญเสียปะการังจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ทางทะเลอย่างร้ายแรง
ดร.พิรุณเน้นย้ําว่า “สถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่นี้ ไม่ใช่แค่ภาวะโลกร้อน (Global Warming) อีกต่อไป
นี่อาจเป็น สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ ที่รุนแรงกว่าครั้งไหน ๆ เพราะนี่ไม่ไช่แค่วิกฤตโลกร้อน แต่อาจถึงขั้นยุคโลกเดือด (Global Boiling) ก็เป็นได้ เลขาธิการสหประชาชาติได้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้น สาเหตุหลักมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสะสมในบรรยากาศโลก ซึ่งปัจจุบันสูงถึง 2,500 จิกะตัน (Gt) หรือคิดเป็น 2,500 ล้านล้านตัน
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างมหาศาล กลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญและหาทางแก้ไข เราต้องร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาผลกระทบนี้
กติกาโลกใหม่ ธุรกิจต้องปรับตัวให้เข้ากับบริบทใหม่ เน้นความยั่งยืน ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว และตลาดคาร์บอน
การประชุม World Economic Forum หรือที่รู้จักกันในนาม “การประชุมดาวอส” เป็นเวทีระดับโลกที่ผู้นําจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคมมารวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นสําคัญที่ส่งผลต่อโลกของเรา
หนึ่งในประเด็นร้อนแรงที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในปีนี้คือ สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีการคาดการณ์ว่าหากไม่มีการดำเนินการใดๆ โลกของเราอาจเผชิญกับความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาลถึง 12.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2050
กำลังถูกกำหนดขึ้นเพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์นี้ ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับบริบทใหม่ โดยให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืน มากขึ้น ห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) จะต้องเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตลาดคาร์บอนจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ดร.พิรุณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า ตลาดคาร์บอนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่ต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
การรายงานการปล่อยก๊าซ จะต้องมีความโปร่งใสมากขึ้น
การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประเทศไทยจําเป็นต้องเร่งดําเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นกลางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) จะเข้ามามีบทบาทสําคัญในอนาคต แรงกดดันจากต่างประเทศจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งประเทศไทยจําเป็นต้องเตรียมตัวรับมือ
อนาคตของโลกอยู่ในมือของเรา การประชุมดาวอสเป็นเสมือนเสียงเตือนให้เราตระหนักถึงความรุนแรงของวิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเร่งดำเนินการเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของโลกของเรา
ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม เผยข้อมูลน่าตกใจว่า แม้โลกจะเผชิญวิกฤตโลกร้อน อุณหภูมิโลกพุ่งสูงขึ้น แต่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก ยังมีความเหลื่อมล้ำอย่างเห็นได้ชัด จากข้อมูลล่าสุด เผยให้เห็น สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ อันน่าตกใจว่า โลกของเรากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างหนัก เมื่อ 5 ประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก กำลังสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศและสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง
5 อันดับประเทศปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด สะท้อนความเหลื่อมล้ำทาง “มลพิษ”
- จีน มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ กลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในโลก คิดเป็น 27% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด การพัฒนาอุตสาหกรรมและการใช้พลังงานอย่างมหาศาล ส่งผลต่อมลพิษทางอากาศและโลกร้อน
- สหรัฐอเมริกา อดีตมหาอำนาจโลก ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 11% ของโลก การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การคมนาคม และภาคอุตสาหกรรม ล้วนเป็นตัวการสำคัญ
- อินเดีย ประเทศกำลังพัฒนาที่มีประชากรมากที่สุดอันดับสอง ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 6.6% ของโลก การเติบโตทางเศรษฐกิจ การใช้ถ่านหิน และการเผาไหม้เชื้อเพลิงชีวภาพ ล้วนมีส่วนทำให้มลพิษเพิ่มสูงขึ้น
- รัสเซีย ประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 5% ของโลก การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ส่งผลต่อมลพิษทางอากาศและโลกร้อน
- ญี่ปุ่น ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3.3% ของโลก การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และภาคอุตสาหกรรม ล้วนเป็นตัวการสำคัญ
จากรายงานล่าสุดขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) เผยให้เห็นภาพอันน่าทึ่ง เกี่ยวกับสถานการณ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย โดยผลการศึกษานี้ชี้ชัดว่า ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 19 ของโลก ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คิดเป็นสัดส่วน 0.93% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในโลก!
ดร.พิรุณ ทิ้งท้ายว่า เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก จำเป็นต้องมีการกระจายความรับผิดชอบอย่างเป็นธรรม ประเทศพัฒนาแล้ว ควรมีบทบาทนำ สนับสนุนเทคโนโลยี และเงินทุน แก่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อร่วมกันแก้ไขวิกฤตโลกร้อน