มาทำความรู้จัก “มะพร้าวทะเล” หรือ มะพร้าวแฝด ทำไมถึงแพง? มะพร้าวทะเล หรือ มะพร้าวแฝด (LODOICEA MALDIVICA) เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีชื่อเรียกอื่นว่า มะพร้าวก้นสาว หรือ ตาลทะเล ส่วนในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Coco de mer แปลตรงตัวว่า มะพร้าวทะเล สาเหตุที่มีชื่อเรียกเช่นนี้มาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับนักเดินเรือในอดีต ที่มักจะพบผลไม้ชนิดดังกล่าวลอยอยู่ในมหาสมุทร แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นต้นของมัน จึงทำให้หลายคนเข้าใจว่าลำต้นของพืชชนิดนี้อาจโตอยู่ใต้น้ำ
มาทำความรู้จัก “มะพร้าวทะเล” หรือ มะพร้าวแฝด ทำไมถึงแพง?
ประวัติมะพร้าวทะเล กษัตริย์ในมัลดีฟออกกฎว่า ผู้ใดพบเห็นมะพร้าวทะเล แล้วไม่นำไปถวายพระองค์จะถูกลงอาญาถึงขั้นประหารชีวิต มะพร้าวทะเลจะพบมากที่สุดในทะเลตามหมู่เกาะมัลดีฟ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเรียกชื่อมะพร้าวทะเลนี้ว่า มะพร้าวมัลดีฟ เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังพบในทะเลแถวอารเบีย ศรีลังกา และอินเดียใต้ เกาะสุมาตรา และชายฝั่งแหลมมลายูอีกด้วย แต่เนื่องจากเจอแถวหมู่เกาะมัลดีฟมากกว่าที่อื่น จึงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาละตินอีกว่า Lodoicea maldivica
ในอดีตราชินีแห่งโปรตุเกสเคยสั่งให้นำมะพร้าวทะเลไปถวายพระองค์บ่อยครั้ง แม้แต่กษัตริย์รูดอล์ฟก็ยังทรงเคยจ่ายทองจำนวน 4,000 ฟลอรีน (ฟลอรีนละ 3.88 กรัม รวมเป็นทองหนัก 15,522 กรัม หรือประมาณ 9.4 ล้านบาท) เพื่อซื้อมะพร้าวทะเลเพียงใบเดียวจากครอบครัวของกัปตันวอลเฟิร์ต เฮอร์มันส์เซน (Wolfert Hermanszen) ชาวดัตช์
ซึ่งกัปตันคนนี้ได้รับพระราชทานลูกมะพร้าวทะเลนั้นจาก สุลต่านฮาโญโกรวาตี (Sultan Hanyokrowati ทรงมีพระนามเดิมว่า มัสโจลัง Mas Jolang) กษัตริย์แห่งบันตัม บนเกาะชวาตะวันตก (ครองราชย์ระหว่างปี 1601-1613 มีพระชนมายุเพียง 11 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์) เนื่องจากกัปตันวอลเฟิร์ตได้ช่วยต่อสู้ เพื่อขับไล่ทัพเรือโปรตุเกสออกจากบันตัมปี ค.ศ. 1602 แต่กลับต้องตกภายใต้ฮอลแลนด์ในเวลาต่อมา
ชาวมลายูในอดีตเชื่อว่ามะพร้าวทะเลมีต้นเพียงต้นเดียวอยู่ใต้ทะเล ซึ่งอยู่ในเขตทะเลใต้ ที่สะดือทะเลมีน้ำวน มียอดขึ้นเหนือน้ำ ซึ่งพญาครุฑใช้ทำรัง ต้นไม้นี้ว่านามว่าปาโอะห์ ญังกี (Pauh Janggi) แปลว่า มะม่วงญังกี ซึ่งกลายเป็นนิยายที่ใช้เล่นหนังมลายู
มีบางครั้งบางคราวที่คนเถื่อนเก็บลูกมะพร้าวทะเลได้จากฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสุมาตรา แล้วเอามาขายในเมืองปาดัง (Padang) และปรีอามัง (Priamang) บรรดาเจ้าชายมลายูยอมจ่ายในราคามหาศาลเพื่อให้ได้ครอบครองผลไม้วิเศษนี้ ในอินเดียเรียกมะพร้าวทะเลว่า ดัรยาย นาริยาล (แปลว่า มะพร้าวแห่งทะเล)
ต่อมาเพี้ยนเป็น ญาฮารี ในสำเนียงบอมเบย์ ซึ่งแปลว่า “มีพิษ” พวกฟากีรจึงท้าทายพิษของมันด้วยการเอากะลามาทำเป็นภาชนะใส่อาหาร ชาวฮินดูในอินเดียเอามะพร้าวตั้งแท่นแล้วกราบไหว้บูชาเสมือนเป็นโยนีของเจ้าแม่ (Philip Rawson, Tantra : Indian Cult of Ecstasy, p. 23) ในภาษามัลดีฟเรียกมะพร้าวทะเลนี้ว่า ตาวา กัรฮี (Tava Karhi) ซึ่งคำว่า กัรฮี แปลว่า มะพร้าว
มะพร้าวทะเลนี้มีรูปร่างเหมือนมะพร้าวแฝด สองลูกติดกัน อังกฤษเรียกมะพร้าวทะเลอย่างง่าย ๆ ว่า ดับเบิลโคโคนัท (Double coconut) แปลว่า มะพร้าวคู่ ชาวมัลดีฟใช้มะพร้าวทะเลนี้ทำเป็นอาหารและเครื่องดื่ม และเชื่อว่าเป็นยาทิพย์รักษาสารพัดโรค สามารถแก้พิษ และที่สำคัญที่สุดคือเป็นไวอากร้าของสมัยนั้น
ทำไมถึงเรียกว่ามะพร้าวทะเล
“มะพร้าวทะเล” สาเหตุที่ถูกขนานนามอย่างนี้ก็เพราะว่า พวกเดินเรือในอดีตจะพบลูกมะพร้าวทะเลอยู่ในมหาสมุทร แต่ไม่มีใครพบเห็นต้นของมัน จึงสันนิษฐานว่าคงมีต้นอยู่ใต้ทะเล บ้างก็ไปไกลยิ่งกว่านั้น คือเชื่อว่าคงเป็นผลไม้จากสวรรค์แน่ ๆ และอาจจะเป็นผลไม้แห่งความอมตะ ที่อีฟ ภรรยาอาดัมถูกหลอกให้กินก็ได้ นาน ๆ ครั้งจะมีผู้พบเห็นมะพร้าวทะเลถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง
มะพร้าวทะเลจึงกลายเป็นของแปลกและหายากยิ่งกว่าเพชรพลอย และแน่นอนผลไม้พิสดารนี้ก็จะถูกนำไปถวายให้แก่คนที่สำคัญที่สุดในแผ่นดิน นั่นคือกษัตริย์หรือสุลต่าน ไว้ประดับบารมีหรือเป็นยาวิเศษรักษาสารพัดโรค
มะพร้าวทะเลในปัจจุบัน
มะพร้าวทะเลได้รับการกล่าวถึงในหนังสือกินเนสส์ว่าเป็นเมล็ดผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีน้ำหนักถึงลูกละ 20 กิโลกรัม กว่าผลจะสุกต้องใช้เวลา 7 ปี กว่าจะเติบโตออกดอกออกผลได้ต้องมีอายุ 20 ปี ถึง 40 ปี และมีอายุยืนถึง 400 ปี แบ่งออกเป็นเพศผู้และเพศเมีย ผลตั้งบนดินหนึ่งปีถึงจะมีรากแก้วงอกออกมาแล้วชอนไชเข้าไปในดิน มีความยาวหลายฟุต
ก่อนที่จะเริ่มมีใบออกมาปีละ 1 ใบ เพศผู้มีลำต้นสูงถึง 30 เมตร ในปี ค.ศ. 1983 องค์การยูเนสโกได้ระบุให้ Valee de Mai ป่าที่มีต้นมะพร้าวทะเลขึ้นเป็นป่าสงวน สำหรับในประเทศไทย มะพร้าวทะเลมีปลูกและครอบครองเพียงไม่กี่แห่ง ได้แก่ สวนนงนุช ที่พัทยา
ซึ่งสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ นับเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ และสวนแสนปาล์ม ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก เคยมีการตั้งราคาขายเฉพาะกะลาที่แห้งแล้วไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ถึงลูกละ 26,000 บาท
มะพร้าวทะเล ในประเทศไทย
มะพร้าวทะเล ในไทยกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งเมื่อ เพจสวนนงนุช พัทยา Nongnooch Garden Pattaya ได้โพสต์ภาพขณะปอกมะพร้าวขนาดยักษ์ พร้อมระบุว่า “สวนนงนุชพัทยา ปอกมะพร้าวแฝด สุก 11 ลูก ลูกแฝด 4 ลูก นำเมล็ดไปขยายพันธุ์เพื่อเป็นการอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายาก”
ที่ สวนนงนุชพัทยา โดยคุณกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา โชว์ลูกมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด จำนวน 11 ลูก ที่สุกและปอกเปลือกให้ชม พร้อมนำไปขยายพันธุ์ ซึ่งในจำนวนนี้มีลูกมะพร้าวแฝด จำนวน 4 ลูก คือ มีกะลา 2 ใบใน 1ลูก
คุณกัมพลเปิดเผยว่า สำหรับมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด จัดเป็นปาล์มชนิดหนึ่ง มีถิ่นกำเนิดอยู่บนเกาะเล็กๆ ในหมู่เกาะซีเซลล์ในมหาสมุทรอินเดีย มีเมล็ดขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาเมล็ดปาล์ม ส่วนมะพร้าวทะเลที่ปอกให้ชมในวันนี้ สวนนงนุชพัทยาจะนำไปปลูก 2 ต้นเพื่อขยายพันธุ์พืชและการอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายากต่อไป
ปัจจุบัน สวนนงนุชพัทยามีมะพร้าวทะเล 38 ต้น เป็นเพศผู้ 4 ต้น เพศเมีย 9 ต้น ส่วนอีก 25 ต้น ยังไม่ทราบเพศ สำหรับมูลค่าผลมะพร้าวทะเล หรือมะพร้าวแฝด อยู่ที่ประมาณผลละ 100,000 บาท ส่วนลูกที่มีกะลา 2 ใบมีมูลค่า 200,000 บาท สวนนงนุชพัทยายังมีพันธุ์ปาล์มต่างๆมากถึง 1,567ชนิด และกว่า 200 ชนิด มีที่สวนนงนุชพัทยาเท่านั้น ซึ่งได้รับการรับรองจากสมาคมปาล์มนานาชาติว่ามีปาล์มมากชนิดที่สุดในโลก จากการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมปาล์มนานาชาติ (International Palm Society 1998 หรือ IPS 1998)การประชุมปาล์มนานาชาติจัดขึ้นในปี พ.ศ 2541และ พ.ศ 2555
อนึ่งในประเทศไทย มะพร้าวทะเลมีการปลูกและครอบครองเพียงไม่กี่แห่ง อาทิ สวนนงนุช ที่พัทยา โดยสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้สำเร็จ นับเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกที่สามารถทำเช่นนี้ได้ และสวนแสนปาล์มที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม และมีราคาซื้อขายที่แพงมาก เคยมีการตั้งราคาขายเฉพาะกะลาที่แห้งแล้วไม่สามารถนำไปเพาะปลูกได้ถึงลูกละ 26,000 บาท
ด้านผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวทะเล ในอดีตผู้คนนิยมเอากะลาของมะพร้าวทะเลไปทำเป็นลูกประคำ เรียกในภาษามลายูว่า Buah tasbih koka (ลูกประคำโขะขะ) หรือแบ่งเป็นสองซีก เพื่อทำเป็นภาชนะเรียกว่า กัชกูล ซึ่งพวกฟากีรหรือพวกขอทานจะใช้เหมือนบาตร เพื่อขออาหารจากชาวบ้าน
นอกจากนี้ มีความเชื่องมงายเกี่ยวกับลูกประคำโขะขะหลายอย่าง เช่น เป็นเครื่องรางของขลัง เป็นยารักษาโรค บางคนซื้อลูกปาล์มดังกล่าวจากประเทศอาหรับกลับมาเจียระไนทำเป็นลูกประคำ โดยสำคัญผิดคิดว่าเป็นลูกมะพร้าวทะเล ซึ่งพวกเขาจะเก็บขี้เลื่อยมาขายเป็นยารักษาสารพัดโรค
อนึ่ง สาเหตุที่ มะพร้าวทะเล ในประเทศไทยมีราคาแพง เนื่องจากมีจำนวนน้อย ผู้ที่ลงทุนจ่ายราคาแพงซื้อลูกมะพร้าวทะเลไป ส่วนใหญ่ต้องการที่จะนำไปเพาะพันธุ์เพื่อปลูกต้นใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย