หวังยกฐานะค่ามรดกดินแดนสุวรรณภูมิสู่แหล่งทำความเข้าใจระดับนานาชาติ นายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าแล้วก็ของใหม่ ธัชชาเปิดตัวหนังสือ สุวรรณภูมิ แผ่นดินทอง 8 ภาษา เป็นประธานสำหรับเพื่อการแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ : องค์วิชาความรู้เพื่อการขับเขยื้อนสู่อนาคต” ตอนวันที่ 21 มี.ค. 2567 ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้าแล้วก็สิ่งใหม่ ซึ่งกิจกรรมหลักของงาน
สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ
การเปิดตัวหนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ”
ที่มีการพิมพ์และก็แปลเป็น 8 ภาษาเป็นไทย อังกฤษ จีน ประเทศฝรั่งเศส เมียนมาร์ มลายู เขมร รวมทั้ง เวียดนาม โดยความร่วมแรงร่วมมือของสถาบันโลกคดีเรียนรู้แล้วก็สถาบันสุวรรณภูมิเรียน ซึ่งเป็น 2 ใน 5 สถาบัน ในวิทยสถานที่สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และก็ศิลปกรรมศาสตร์ที่เมืองไทย หรือ “ธัชชา” ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทําการศึกษาเล่าเรียนค้นคว้า ศึกษาค้นคว้า จัดทําฐานข้อมูล ปรับปรุงกําลังคน และก็นําสู่การพัฒนาเพื่อการขยายผลการศึกษาวิจัยด้านสุวรรณภูมิเรียนรู้ให้กว้างใหญ่ขึ้น ข่าวการศึกษา
ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ ศึกษาค้นคว้ารวมทั้งของใหม่ บอกว่า “หนังสือ สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ” เป็นหนังสือซึ่งสามารถใช้เป็นแหล่งทำการศึกษาในระดับโลก เป็นการเก็บหลักฐานแล้วก็ค่าสําคัญซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของความคิดสุวรรณภูมิในเชิงประจักษ์ อีกทั้งจากหลักฐานที่เจอแล้วก็ที่ยังสืบต่อถัดมาถึงปัจจุบันนี้ในพื้นที่ต่างๆของเมืองไทยรวมทั้งภูมิภาคเอเซียอาคเนย์ เป็นการแสดงถึงมรดกวัฒนธรรม ที่ประสมประสานองค์วิชาความรู้ระหว่าง “ศาสตร์รวมทั้งศิลป” ที่ปรับปรุงไปสู่การผลิตแล้วก็ยกฐานะคุณภาพชีวิตของคน สังคม วัฒนธรรม และก็สภาพแวดล้อมให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน และก็สามารถนําความคิดดังที่กล่าวผ่านมาแล้วเผยแพร่ให้เป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ เพื่อยกฐานะความสามารถสำหรับการแข่งของประเทศและก็ภูมิภาค
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดงค์เทวดา นักปราชญ์รวุฒิ รองอธิการบดีฝ่ายบริหารรวมทั้งที่มีความสำคัญในการรบ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ บอกว่า หนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ” เรียบเรียงขึ้นโดยหมอสั่งการ ดงษ์พานิช และก็ได้รับความร่วมแรงร่วมมือจากสถาบันโลกคดีเล่าเรียน แล้วก็สถาบันสุวรรณภูมิเล่าเรียน สำหรับในการแปลและก็พิมพ์ มีข้อมูลเกี่ยวกับการทบทวนประเมินผลงานที่มีการศึกษาวิจัยและก็แถลงการณ์ในรอบศตวรรษก่อนหน้าที่ผ่านมาอีกทั้งในประเทศไทยรวมทั้งต่างถิ่น ที่เริ่มจากการพิสูจน์จากนิทานชาดก
เรื่องเก่าแก่รวมทั้งบันทึกต่างๆมาศึกษาค้นคว้าเสาะหาเชิงประวัติศาสตร์
เทียบกับวิทยาการต่างๆและก็ตามด้วยหลักฐานโบราณคดีวิทยาและก็แนวทางวิทยาศาสตร์ต่างๆโดยยิ่งไปกว่านั้นผลงานการเล่าเรียนปัจจุบันเพื่อการนี้จากนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์และก็โบราณคดีวิทยาชั้นหนึ่งของไทยรวมทั้งโลก ล้วนสรุปจำต้องตรงกันว่าสุวรรณภูมินั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ดินแดนในจินตนาการที่เลื่อนลอย แม้กระนั้นมีความน่าจะเป็นมากมายที่จะมีอยู่จริง ตั้งอยู่ในบริเวณระหว่างประเทศอินเดียกับจีนที่เวลานี้เรียกว่าเอเซียอาคเนย์แล้วก็รวมตัวกันเป็นชุมชนอาเซียน
โดยยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็นเพียงแต่อาณาเขต เป็นเมืองหรืออาณาจักร
รวมทั้งตั้งอยู่ในตำแหน่งแห่งเฉพาะเจาะจงที่พิกัดใด มีความจำเป็นสำหรับการเป็นฐานสำคัญของการก่อกำเนิดเมืองแรกเป็นฟูนันที่คลี่คลายสม่ำเสมอไปสู่ช่วงประวัติศาสตร์ของอาณาเขตนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวารวดีเป็นลำดับตั้งแต่พุทธศักราชที่ 10 เป็นต้นมา ที่มีความเพียรพยายามแสดงตำแหน่งที่ของสุวรรณภูมินั้น มีในขณะที่ระบุเพียงแต่ขอบเขตอาณาเขตกว้างๆว่าหมายความว่าดินแดนระหว่างประเทศอินเดียกับจีน และก็ระบุเป็นบางรอบๆหรือที่มีความเพียรพยายามระบุชัดเป็นจุดมีหลายการสันนิษฐาน ที่ได้รับข้อสมมติฐานสูงที่สุดอยู่ที่ภรรยานมาตอนใต้ ภาคตะวันตกของไทยและก็ตอนบนของแหลมไทย-มาเลย์ และก็ล้อมรอบรอบๆตูดอ่าวไทยหรือฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ริมฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย และก็รอบๆสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงในประเทศเวียดนามสม่ำเสมอถึงเขมร
หลักฐานโดยมากอยู่ในตอนยุคพุทธศักราชที่ 9 ธัชชาเปิดตัวหนังสือ สุวรรณภูมิ แผ่นดินทอง 8 ภาษา
เป็นต้นมา จนกระทั่งในพักหลังเริ่มเจอหลักฐานที่สอดคล้องกับที่ปรากฏในบันทึกสมัยก่อนต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจอหลักฐานใหม่ๆที่มีค่าอายุยุคใกล้เคียงสอดคล้องต้องกัน เป็นถึงพุทธศักราชที่ 1 – 7 กับยังมีความเชื่อมโยงกับศาสนาพุทธที่มีหน้าที่มากมายต่อสุวรรณภูมิเพิ่มมากขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งที่รอบๆสุไหงบาตู แถบแถบที่ลุ่มบูจัง เมืองเคดะห์ ทางด้านตะวันตกเฉเหนือของมาเลเซีย รวมทั้งที่คอคอดกระบนแหลมไทย-มาเลย์ที่จังหวัดระนองแล้วก็จังหวัดชุมพรซึ่งสม่ำเสมอถึงช่วงปลายข้างล่างสุดของภรรยานมารอบๆเกาะสอง ระหว่างที่มีเจอบางหลักฐานในพื้นที่เขตที่ลุ่มเจ้าพระยา-ป่าสัก รวมทั้งต้นแม่น้ำชี-มูล บนทางผ่านแหลมจากอ่าวเบงกอลสู่อ่าวตังเกี๋ย โดยข้อมูลผลของการค้นหาศึกษาเล่าเรียนใหม่ๆอีกทั้งในภรรยานมา ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนามและก็เขมร บางครั้งอาจจะเจอหลักฐานใหม่อื่นๆมากขึ้นอีก
สามารถประมวลคุณประโยชน์อันเป็นมรดกตกทอด ธัชชาเปิดตัวหนังสือ สุวรรณภูมิ แผ่นดินทอง 8 ภาษา
ที่สุวรรณภูมิในเชิงประจักษ์จากหลักฐานต่างๆได้ 5 ประการ ที่ยังสืบต่อมาถึงปัจจุบันนี้ในนานาประเทศในเอเซียอาคเนย์ศูนย์รวมกันเป็นชุมชนอาเซียน ที่รอคอยการสืบทอดถัดไปสู่อนาคต มี
1) อยู่บนสะพานเชื่อมโลกที่เต็มไปด้วยของดีมีค่า: ด้านภูมิศาสตร์กายภาพแล้วก็ทรัพยากร (Geography Natural and Resources)
2) เป็นบริเวณผ่านไปมา ตั้งภูมิลำเนา ค้าขาย ก่อตัวนานาเมือง นคร เมือง แล้วก็อาณาจักร: ด้านตั้งภูมิลำเนารวมทั้งวิวัฒนาการของเมือง (Settlement and Polity Development)
3) เป็นดินแดนแลกรวมทั้งสั่งสมวิทยาการ เทคโนโลยีแล้วก็การสร้างสำคัญของโลก: ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิทยาการแล้วก็การสร้าง (Science and Technology)
4) เป็นชุมทางรวมทั้งสถานีกิจการค้าสำคัญของโลก: ทางการค้าขาย การค้าขายและก็บริการ (Commercial, Trade and Services)
5) เป็นอู่ที่ศิลป์ วัฒนธรรมแล้วก็อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่: ด้านศิลป์แล้วก็วัฒนธรรม (Art, Culture and Civilization)
และก็หนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ” ยังบ่งบอกถึงถึงการเชื่อมต่อทางภูมิศาสตร์และก็ทรัพยากร การตั้งรกราก การรวบรวมเทคโนโลยีวิทยาการ การเป็นชุมทางการค้า รวมทั้งด้านการเป็นแหล่งรวมศิลป์รวมทั้งวัฒนธรรม เพื่อการเรียนรู้ค้นหาหาคําตอบเชิงลึกแล้วก็ขยายผลเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ ชีวิต วัฒนธรรม ทั้งยังในประเทศไทยรวมทั้งในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นดินแดนสุวรรณภูมิในอดีตกาล เป็นหนังสือที่อ่านง่ายรู้เรื่องรู้ที่ลึกซึ้ง รวมทั้งมีรูปภาพให้มองประกอบ
เรื่องราวของ “สุวรรณภูมิ” เป็นที่พอใจของสถาบันด้านวิชาการหลายที่อีกทั้งในแล้วก็ต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งมีที่ตั้งของโรงเรียนทั้งยัง 5 วิทยาเขตอยู่ในภาคใต้ที่เป็นหลักที่ที่มีความสำคัญในการรบสําคัญของโลกตั้งแต่อดีตกาลจนกระทั่งตอนนี้ ได้มองเห็นความสําคัญของวิชาความรู้ทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ที่ได้จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยวัฒนธรรมพื้นทวีปมหาสมุทรภาคใต้
และก็เริ่มจัดทํา “แผนการสุวรรณภูมิศึกษาเล่าเรียนที่แหลมไทย” ขึ้นเมื่อปี พุทธศักราช2562 โดยถัดจากนี้จะขับเคลื่อนด้วยการจัดตั้งเป็น ศูนย์เรียนมรดกวัฒนธรรมพื้นทวีปทวีป PSU Maritime Cultural Study Center ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มีการนำเอาหัวข้อ “การผลิตสังคมพหุวัฒนธรรมและก็วิถีสุวรรณภูมิสู่ความยั่งยืนมั่นคง” มาเป็นเยี่ยมในเป้าประสงค์เชิงกลยุทธ์ เพื่อความเป็นมหาวิทยาลัยที่ค่าเพื่อขับการพัฒนาที่จีรังยั่งยืนระดับแนวหน้าของโลก รวมทั้ง สอดคล้องกับหน้าที่การพัฒนามหาวิทยาลัยให้เป็นสังคมฐานความรู้บนฐานรากพหุวัฒนธรรม รวมทั้งหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการพัฒนาสู่ความคงทนถัดไป
นอกเหนือจากการเปิดตัวหนังสือ “สุวรรณภูมิ แผ่นดินทองคำ” แล้ว ในวันดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีกิจกรรมที่น่าดึงดูดหมายถึงคำปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “จากสุวรรณภูมิสู่การขับเขยื้อนเพื่ออนาคต” โดย ศ.จ.เกียรติยศ หมอแจ่มแจ้ง กาญจน์เวลา นายกที่ประชุมมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ การบรรยายพิเศษ “สิ่งศึกษาค้นพบใหม่จารึกโบราณยุคพระผู้เป็นเจ้าต้นอโศกบนแหลมไทย” โดย ๓ คณะครูจากสาขาวิชาภาษาทิศตะวันออก
ภาควิชาโบราณคดีวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่เจอหลักฐานจารึกโบราณร่วมยุคพระผู้เป็นเจ้าต้นโศกมหาราชเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่ผ่านมาที่คอคอดกระ โดย ดร.อุเทน ตระกูลสถิตย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทรัพย์สมบัติ มั่งคั่งสุขศรี แล้วก็ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เป็นห่วง คัชชิมา อีกทั้ง 3 ท่านเป็นผู้ชำนาญภาคภาษาทิศตะวันออก ภาควิชาโบราณคดีวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร และก็การอภิปรายร่วมเปลี่ยน หัวข้อ “สุวรรณภูมิกับการขับการเขยื้อนสู่อนาคต” รวมทั้งการประกาศความร่วมแรงร่วมใจระหว่าง ธัชชา กับ ไทยพีบีเอส เกี่ยวกับการร่วมกันทำชุดสารคดีสั้นที่สม่ำเสมอจาก สารคดีรากสุวรรณภูมิ เพื่อสร้างการรับทราบเกี่ยวกับค่ามรดกวัฒนธรรมของชาติอีกด้วย